วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2554

อยากสูง

5 วิธียืดตัวให้สูง
posted on 25 Apr 2007 18:10 by bowajung in Health
สำหรับคนอายุ 17 - 20 ปี (อายุไม่ถึงก็น่าจะทำได้อะนะ แต่กระโดดเชือก 600 ครั้งมันไม่ไหวนะ - -)

1. กระโดดเชือก 600 ครั้ง หรือ ออกกำลังที่มีการยืดใช้เวลาประมาณ 30 นาที (เช้า - เย็น)
ถ้าหากเบื่อวิธีที่กล่าวมา ก็เต้นแอโรบิค หรืออะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับการเต้น
ออกกำลังกายแบบเคลื่อนไหวก็ใช้ได้เหมือนกัน ใช้เวลาติดต่อกัน 30 - 60 นาที
(ว่ายน้ำ วิ่งช้า ๆ ขี่จักรยาน บาสเกตบอล เทนนิส เดินเร็ว และอื่นที่มีการกระโดด) ก็ได้ทำให้สูงได้เหมือนกัน

2. ดื่มนมวันละ 2 แก้ว หลังอาหาร (เช้า - หลังอาหาร) เพราะนมวัวไม่เพียงอุดมไปด้วยแคลเซียมและสารอาหารต่างๆ เท่านั้น
แต่ยังมีสารอาหารบางอย่างที่ทำให้สูงขึ้นหรือทำให้ร่างกายใหญ่ขึ้นนั้นเอง
เป็นสารอาหารที่สำคัญอย่างมากสำหรับคนที่ต้องการสูงขึ้น

3. นอนเวลาประมาณ 3 ทุ่มขึ้นไป แต่ห้ามนอนหลังเที่ยงคืนและนอนให้เพียงพอ
*(เพราะฮอร์โมนความสูงจะหลั่งตั้งแต่ เที่ยงคืน ถึง ตี 5)

4. กินอาหารให้ครบ 3 มื้อ (เช้า กลางวัน เย็น) สารอาหารให้ครบ 5 หมู่

5. งดเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอลฮอล์ และ น้ำอัดลม งดสูบบุรี่ เท่าที่จะเป็นไปได้
เพราะมีโอกาสเป็นไปได้ค่อนข้างสูง ที่จะทำให้มีโอกาสสูงได้น้อยลงได้เหมือนกัน

ถ้าคุณทำตาม 5 ข้อที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ภายใน 1 เดือน (30 วัน) รับรองได้คุณจะสูงเพิ่มอีกเฉลี่ยเดือนละ 1.30 เซนติเมตร
(แต่ต้องทำทุกวัน)
^_^ถ้าไม่เชื่อก็ลองวัดส่วนสูงดูก็ได้นะ

วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

บ่นๆๆไปงั้นแหละ

ทำไมเพื่อนต้องมาด่ากันด้วยว่ะ กรุไม่เข้าข้างใครเว้ย กรุละเซงแล้วเนี้ย ผิดทั้งหมดแหละ เพราะไม่เข้าใจกันต่างคนต่างคิด มีอคติต่อกัน มันเลยเป็นแบบนี้ ขอให้ห้องอยู่อย่างสงบสุขไม่ได้กันรึไงเนี้ย

วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554

ไปเรื่อย...

อยากจะทำผมแบบนี้บ้างจัง แต่มันไม่เข้ากะหน้าตัวเองเล้ยยยยยยยยยย แง่ๆๆๆ

วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2554

งานสัมนา..





















โว้ววววว ใคเป็นใคร มาดูกันเอาน่ะค่ะ แต่*..* รู้สึกเหมือนจะมีแต่เจ้าของบล็อคน่ะเนี้ย รูปง่ะ 555+

ลงพื้นที่เก็บข้อมูลงานกันจร้า





















ต๋ายยยยยยยยยย ไม่ได้เข้ามาอัป อะไรในบล็อคเลย เอาไว้ก่อนแล้วกันน่ะ

วันพุธที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2554

วิธีทำให้ผิวขาว

ในหมู่คนรักสวยรักงาม เป็นที่ทราบกันแบบอวดอ้างกล่าวขานต่อๆ กันมาว่า "กลูต้าไธโอน" เป็นสารที่ทำให้ผิวขาวผ่องและเป็นที่นิยมกันมาก แม้สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยจะออกมาเตือนผู้บริโภค ว่าไม่ควรหลงเชื่อโฆษณาที่อ้างว่าสามารถช่วยให้ผิวขาวขึ้น เพราะไม่มีผลิตภัณฑ์ใดที่จะทำให้ผิวขาวขึ้นได้อย่างถาวร ผลิตภัณฑ์หรือยาอาจช่วยให้ผิวขาวได้ชั่วคราว แต่เมื่อหมดฤทธิ์ร่างกายก็ผลิตเม็ดสีตามปกติ

อืม... แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะคะ สาวๆ ก็ต้องมาคู่กับความสวยความงาม วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับวิธีทำให้ผิวขาว บอกลาผิวหม่นหมองด้วยวิธีธรรมชาติๆ มาฝากเพื่อนๆ กันด้วย ว่าแล้วไปดู 27 วิธี บอกลาผิวหม่นหมองกันเลย...

1. การขัดผิว (Exfoliating) หมายถึง การขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิวหน้า รากศัพท์ของมันมาจากคำว่า "foliage" ซึ่งแปลว่าใบพืช เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า อิพิเดอร์มิส (Epidermis) หรือผิวชั้นนอกเกิดขึ้นมาโดยผ่านกระบวนการสร้างจนมาเติบโตเต็มที่อยู่ชั้นบนสุดของผิวหนัง โดยเซลล์ที่ อยู่ล่างสุดของชั้นนี้ที่เรียกว่า เซลล์แรกเริ่ม (Basal Cells) จะสร้างเซลล์ลูกซึ่งจะเคลื่อนตัวขึ้นไปจนกลายเป็นผิวชั้นนอก เซลล์เหล่านี้มีหน้าที่เป็นตัวกั้นระหว่างร่างกายเรากับสิ่งแวดล้อมภายนอก ทั้งยังช่วยเก็บรักษาความชุ่มชื้นภายในและป้องกันสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้าสู่ผิว หลังจากเซลล์ใหม่ที่แข็งแรงกว่า อยู่ประจำที่บนชั้นผิวหนังแล้ว เซลล์ผิวเก่าก็จะหลุดลอกออกโดยธรรมชาติ หากยังตกค้างอยู่บนผิวก็จะทำให้ผิวดูไม่มีชีวิตชีวา และดูเป็นสะเก็ด การขัดหน้าจึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการกำจัดเซลล์เก่าที่บดบังความสดใสนั่นเอง

2. ผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับการขัดผิว ก็ได้แก่ ฟองน้ำขัดรูปแบบต่างๆ เช่น ใยบวบ หรือครีม เช่น เอเอชเอ แม้กระทั่งผ้าเช็ดตัวก็สามารถใช้ขัดผิวได้ การขัดผิวอย่างนุ่มนวลจะช่วยให้ผิวของคุณดูชุ่มชื่นและใสกระจ่าง

3. ควรหลีกเลี่ยงการขัดผิวด้วยวิธีรุนแรง และหากขัดมากเกินไป ก็อาจรบกวนหน้าที่ในการสกัดกั้นสิ่งแปลกปลอมของผิว รวมถึงทำให้ผิวอ่อนไหวมากขึ้นจนเกิดความแห้งกร้าน ไหม้แดด หรือปัญหาอื่นๆ ได้ง่าย

4. ถ้าไม่กำจัดออกไป ผิวจะเกิดการอุดตันและหายใจไม่ได้ ผลก็คือ ผิวจะหม่นหมอง ดูแล้วมีความมัน หรือบางทีอาจทำให้เกิดสิวอุดตัน รวมทั้งทำให้กระบวนการไหลเวียนของโลหิตใต้ผิวไม่ดี ทำให้ของเสียเกิดการสะสมตัว

5. ถ้าต้องการขัดผิวหน้า ก็ควรทำอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง และขัดผิวกายเดือนละ 1-2 ครั้ง แต่ถ้าใครมีเซลลูไลท์ แนะนำให้ขัดผิวบริเวณส่วนนั้นทุกวัน โดยใช้ถุงมือผ้าที่ใช้สำหรับอาบน้ำนวดขัด เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และกำจัดของเสียออกทางระบบน้ำเหลือง

6. วิธีการขัดผิวที่ถูกต้อง สิ่งที่ต้องมีคือ ฟองน้ำสำหรับขัดผิวกาย ถุงมือผ้า อาบน้ำหรือใยบวบ และผลิตภัณฑ์ขัดผิว เลือกให้เหมาะกับสภาพผิว ถ้าไม่แน่ใจลองปรึกษาคนขาย

7. เริ่มต้นที่ทำผิวเปียก นำผลิตภัณฑ์ขัดผิวเทใส่ใยบวบ ฟองน้ำ หรือถุงมือ แล้วทาลงบนผิวเบาๆ นวดผลิตภัณฑ์บนผิวด้วยการวนมือเป็นลักษณะวงกลมเบาๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นระบบไหลเวียน ใช้น้ำล้างออกให้สะอาด ซับให้แห้ง แล้วทาครีมบำรุงผิวที่ให้ความชุ่มชื้นในขณะที่ผิวยังชื้น

8. ผลิตภัณฑ์สำหรับขัดผิวควรเลือกที่เป็นครีมหรือเจล เนื้อครีมควรมีลักษณะเป็น เม็ดกลม เพื่อปกป้องผิวจากการระคายเคือง หรือเป็นแผลถลอก ขณะที่ขัดนวดผิวบริเวณนั้นควรมีความชื้นพอหมาด แล้วล้างออกด้วยน้ำมากๆ

9. ใยบวบ หรือใยขัดธรรมชาติ เป็นอุปกรณ์ขัดผิวที่มีประสิทธิภาพมาก แต่ถ้าออกแรงขัดมากเกินไป อาจทำให้แสบผิวได้ เพราะใยเหล่านี้มีลักษณะสาก และหยาบ เวลาขัด จึงควรขัดเบาๆ ไปทั่วร่างกายขณะอาบน้ำ และเมื่อใช้เสร็จแล้วควรล้างทำความสะอาดและผึ่งให้แห้ง

10. การใช้ผ้าสำหรับถูตัว หรือฟองน้ำถูตัวเวลาอาบน้ำ ก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งของการขัดผิว โดยใช้ร่วมกับสบู่ หรือเจลอาบน้ำก็ได้

11. เลียนแบบจากสปาชั้นนำ โดยการใส่น้ำให้เต็มอ่าง เติมเกลือเม็ดลงไป และเวลาที่ลงไปแช่ตัวอยู่ในอ่างให้ใช้เกลือ 1 กำมือ ขัดไปมาเบาๆ ให้ทั่วตัว และล้างตัวด้วยน้ำสะอาด

12. แปรงแปรงผิวสามารถใช้ได้ดี โดยขัดเบาๆ บนผิวที่แห้งก่อนอาบน้ำ เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดไป หรือจะใช้ในขณะอาบน้ำร่วมกับสบู่ หรือเจลอาบน้ำก็ได้

13. การปรนนิบัติผิวให้นุ่มนวลขึ้นภายในระยะเวลาอันสั้น ควรเริ่มด้วยการใช้น้ำมันนวดผิวก่อนอาบน้ำ จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนของการขัดผิว เพื่อช่วยปรนนิบัติ ผิวสะอาดหมดจด สวยเนียนสดใสไปอีกนานๆ

14. เราสามารถทำครีมขัดผิวใช้เอง โดยการใช้เกลือเม็ดเล็กๆ ผสมกับน้ำมันทาผิว (Baby Oil) หรือน้ำมันมะกอกทาทั่วตัวทิ้งไว้ประมาณ 1 นาที นวดให้ทั่ว แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

15. สครับสำเร็จรูปมักมีลักษณะคล้ายๆ กัน คือมีบีด (bead) ซึ่งอาจทำจากเกลือ, น้ำตาล, อัลมอนด์ ฯลฯ ช่วยในการขัดผิว มีน้ำมันช่วยหล่อลื่นมีกลิ่นหอม อีกทั้งมีส่วนประกอบในการบำรุงผิวอีกหลายชนิด

16. เราสามารถทำสครับใช้เองง่ายๆ ด้วยการใช้ผักผลไม้ชนิดที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ในตัวเดียว คือมีผิวสัมผัสที่ให้ความหยาบเล็กน้อย แต่ต้องไม่ถึงกับให้ผิวระคายเคือง มีน้ำช่วยหล่อลื่นและมีวิตามินตรงกับความต้องการ

17. มะขามเปียก, สับปะรด มีเส้นใยช่วยขจัดขี้ไคล มีความเป็นกรด ช่วยทำความสะอาดผิว ทำให้ผิวขาวใส มีวิตามินซึ่งเป็นแอนติออกซิแดนท์สูง มะละกอมีเอนไซม์อ่อนๆ ช่วยขจัดเซลล์ที่ตายแล้ว วิตามินสูง แต่เนื้อมีความละเอียดมาก มะนาวเป็นกรด เหมาะใช้กับผิวส่วนที่หยาบกร้าน เช่น ข้อศอก, ส้นเท้านุ่มขึ้น แตงกวาช่วยให้ผิวสดชื่น มะพร้าวขูดมีน้ำมันช่วยบำรุงผิว แต่ถ้าคุณเป็นคนผิวแห้งมากต้องระวัง ลองใช้ส้มเช้งมีคุณสมบัติ คล้ายสองชนิดแรก แต่ไม่เป็นกรดมาก

18. ถ้าคุณเลือกส่วนผสมหลักที่มีความพร้อมในตัวเดียว เช่น มะขามเปียกก็สามารถ นำมาสครับได้เลย แต่ถ้าเลือกมะละกอก็ควรหาสิ่งที่เป็นบีดเพิ่มเข้าไปด้วย เพราะบีดช่วยเพิ่มความสากในสครับ ทำให้สามารถขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วได้ง่ายขึ้น

19. เพื่อความปลอดภัยควรเลือกสิ่งที่อยู่ในครัวเรือนและมีโอกาสแพ้น้อยที่สุด เช่นเกลือมีฤทธิ์ช่วยสมานผิว, ข้าวสารบดละเอียดช่วยให้ผิวขาว, น้ำตาลทรายมีทั้งความสากและความหนืดอยู่ในตัวเอง, งาเนื้อไม่หยาบเกินไป มีน้ำมันอยู่ในตัวช่วยลดความระคายเคือง และกาแฟกระตุ้นให้ร่างกายขับสารพิษ สิ่งที่ควรระวังคือบีดบางชนิดมีเหลี่ยมคม จึงต้องนำมาบดให้ละเอียดก่อนนอกจากนั้นอาจเพิ่มน้ำมันลงไปเพื่อช่วยลดการเสียดสี

20. ถ้าคุณมีผิวมัน ใช้มะขามเปียกหรือสับปะรดซึ่งมีความเป็นกรดช่วยขจัดความมันผสมกับเกลือ มีฤทธิ์ช่วยสมานผิว เติมโยเกิร์ตช่วยบำรุงผิวก็ได้

21. ถ้าคุณมีผิวแห้ง ใช้ส้มเช้งเป็นส่วนผสมหลัก...ปอกเปลือกแล้วหั่นเป็นแว่นพอจับถนัดมือ ใส่งาขาวเป็นตัวช่วยขัด เพิ่มน้ำมันมะกอกเล็กน้อยลดความระคายเคือง

22. ถ้าคุณมีผิวแพ้ง่าย ใช้แค่งาขาว, งาดำผสมน้ำผึ้งหรือโยเกิร์ตก็พอ

23. การใช้น้ำมัน จุดประสงค์สำคัญคือช่วยหล่อลื่น และเป็นตัวช่วยลดความเข้มข้นของกรดสำหรับคนผิวแห้งเช่น ถ้าคุณต้องการใช้สับปะรดขัดผิว แต่เกรงว่าผิวจะแห้ง เกินไป การเพิ่มส่วนผสมน้ำมันก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะนอกจากช่วยให้ลื่นแล้ว น้ำมันยังช่วยเคลือบผิวไม่ให้มีการสูญเสียน้ำมากเกินไป

24. การเพิ่มนม, โยเกิร์ต, น้ำผึ้ง หรืออื่นๆ ที่ช่วยบำรุงผิว สามารถทำได้ แต่ต้องดูไม่ให้สครับข้นหรือเหลวเกินไป ลักษณะของสครับที่ดีควรมีความหนืดเล็กน้อย จับตัว อยู่บนผิวได้ และสะดวกแก่การขัด

25. ใครที่ชอบความหอมรื่นรมย์ สามารถเสริมกลิ่นด้วยการหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่ชอบลงไป 2-3 หยด ซึ่งต้องเป็นน้ำมันหอมระเหยสำหรับนวดตัว ซึ่งมักผสมที่ความเข้มข้นประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่สำหรับใส่เตาเผาน้ำมันเพราะน้ำมันหอมระเหย เข้มข้นจะทำให้ผิวไหม้

26. คนที่มีโรคเกี่ยวกับต่อมน้ำเหลือง เช่น ต่อมน้ำเหลืองอักเสบรุนแรง, ต่อมน้ำเหลือง-โต, มีแผลเป็นหนอง หรือแม้แต่เป็นสิวอักเสบ ควรงดการสครับชั่วคราวจนกว่าจะหายเพราะการขัดเป็นการกระตุ้นให้อักเสบมากขึ้น

27. ถ้าจะสครับหน้าต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนที่สุด ขัดอย่างเบามือเพื่อกระตุ้นน้อยๆ เน้นไปที่ร่องจมูก เลี่ยงจุดที่บอบบางมากๆ เช่น รอบดวงตา



ขอขอบคุณข้อมูลจาก

วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2554

งานๆๆๆ

ใครส่งงานท่านจำนง แล้วบ้างบอกด้วยน่ะ ชาวบล็อก สารสนเทศ แล้วก็ใครสนใจ ให้ทำให้ก็ เอ็มเลย ไม่ก็เฟรชน่ะ รึก็ บล๊อคเนี้ยแระ


วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2554

สังคมบันเทิง

ประกาศผลรางวัล Nine Entertain Awards 2011 วันที่ 17 มีนาคม 2554


Nine Entertain Awards 2011
ประกาศผลรางวัล Nine Entertain Awards 2011
ละครแห่งปี – ไฟอมตะ
นักแสดงชายแห่งปี – ชาคริต (ไฟอมตะ)
นักแสดงหญิงแห่งปี – พลอย เฌอมาลย์ (ระบำดวงดาว กุหลาบไร้หนาม ชั่วฟ้าดินสลาย)
ภาพยนตร์แห่งปี – ชั่วฟ้าดินสลาย
พิธีกรแห่งปี – รถเมล์ จาก ตลาดสดสนามเป้า
นักร้องเดี่ยวแห่งปี – อ๊อฟ ปองศักดิ์
นักร้องกลุ่มแห่งปี – ซิงกูล่าร์
เพลงแห่งปี – เบา เบา
บุคคลเบื้องหลังแห่งปี – อรุโณชา
ทีมสร้างสรรค์แห่งปี – คุณพระช่วย
ขวัญใจมหาชน – บี้เดอะสตาร์
รางวัลพระราชทานบันเทิงเทิดธรรม ได้แก่ – พิศมัย วิไลศักดิ์
รางวัลครอบครัวแห่งปี ได้แก่ – ครอบครัวรากแก่น
ที่มา http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A10353171/A10353171.html

อะไรมันเกิดขึ้นกับโลกของเราค่ะ -*-

วิกฤตการณ์ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของโลก



1. ปัญหาวิกฤตด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของโลก ปัญหาวิกฤตการณ์ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของโลกในปัจจุบัน แบ่งได้เป็น 3 ปัญหาใหญ่ ๆ ดังนี้ 1.1 ปัญหาทรัพยากรธรรมชาติลดความอุดมสมบูรณ์ ทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ ได้แก่ ดิน น้ำ ป่าไม้ สัตว์ป่า และแร่ธาตุต่าง ๆ 1.2 ปัญหาการเกิดมลภาวะหรือมลพิษต่าง ๆ ของสิ่งแวดล้อม เช่น น้ำเน่าเสีย อากาศเป็นพิษ มลพิษของเสียง และมลพิษจากขยะมูลฝอย เป็นต้น

1.3 ปัญหาที่เกิดจากการทำลายระบบนิเวศทางธรรมชาติ เช่น ฝนทิ้งช่วง ภัยจากความแห้งแล้ง อุทกภัย วาตภัย และภาวะโลกร้อนมีอุณหภูมิสูง เป็นต้น

2. สาเหตุที่ทำให้โลกเกิดวิกฤตด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สาเหตุพื้นฐานของปัญหาวิกฤติการณ์ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของโลกในปัจจุบัน คือ 2.1 การเพิ่มของจำนวนประชากรโลก ในปัจจุบัน ประชากรโลกมีประมาณ 6,314 ล้านคน (พ.ศ. 2546) จึงเป็นสาเหตุโดยตรงทำให้เกิดการสูญเสียในทรัพยากรธรรมชาติอย่างรวดเร็ว และเกิดมลพิษของสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ตามมา สรุปได้ดังนี้ (1) อัตราการเพิ่มของประชากร ประเทศที่พัฒนาแล่วมีอัตราการเพิ่มของประชากรค่อนข้างต่ำเฉลี่ยร้อยละ 0.1 ต่อปี ส่วนประเทศที่กำลังพัฒนามีอัตราการเพิ่มของประชากรอยู่ในเกณฑ์สูงเฉลี่ยร้อนละ 1.5 ต่อปี (2) การเพิ่มของจำนวนประชากรในชนบท ทำให้ผู้คนในชนบทอพยพเข้ามาหางานทำในเมืองเกิดการขยายตัวของชุมชนเมืองอย่างรวดเร็ว และยิ่งมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิตภาคอุตสาหกรรมมากขึ้นก็ยิ่งส่งผลให้เกิดปัญหามลพิษของสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ตามมา

(3) การเพิ่มของจำนวนประชากรส่งผลให้เกิดการแปรรูปทรัพยากรธรรมชาติเพื่อนำมาใช้ประโยชน์สนองความต้องการของประชาชนมากยิ่งขึ้น มีการบุกรุกพื้นที่ป่าไม้เพื่อนำมาใช้เป็นพื้นที่เกษตรกรรม เช่น พื้นที่ป่าลุ่มแม่น้ำอะเมซอน (Amazon) ในทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งทำให้ทั่วโลกหวั่นวิตกว่าจะเป็นการสูญเสียพื้นที่ปอดของโลก

2.2 ผลกระทบจากการใช้วิทยาการและเทคโนโลยี ในปัจจุบัน มีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการผลิตด้านต่าง ๆ อย่างกว้างขวางทั้งในภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรมและบริการ แต่ถ้านำเทคโนโลยีไปใช้อย่างไม่เหมาะสม อาจส่งผลกระทบทำให้เกิดการสูญเสียความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ดังเช่น (1) การสำรวจ ขุดเจาะ หรือขนส่งน้ำทันดิบจากแหล่งขุดเจาะในทะเลโดยทางเรือบรรทุกน้ำทัน อาจเกิดอุบัติเหตุทำให้น้ำมันรั่วไหลมีคราบน้ำมันปนเปื้อนบริเวณพื้นผิวน้ำ เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตในทะเล และทำให้ระบบนิเวศของท้องทะเลต้องเสียความสมดุลไป

(2) การสร้างเขื่อนและอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ทำให้สูญเสียพื้นที่ป่าไม้จำนวนมาก

(3) การตั้งโรงงานอุตสาหกรรมอย่างหนาแน่น ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศ เสียง และแหล่งน้ำตามธรรมชาติ เป็นต้น 3. สรุปวิกฤตการณ์ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของโลก

3.1 วิกฤตการด้านทรัพยากรธรรมชาติของโลก มีดังนี้

(1) การตัดไม้ทำลายป่า และการสูญเสียพื้นที่ป่าไม้ (2) ความเสื่อมโทรมของดิน และการชะล้างพังทลายของดิน (3) การขาดแคลนทรัพยากรน้ำจืด 3.2 วิกฤตการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมของโลก (1) การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (ภาวะโลกร้อน และชั้นโอโซนถูกทำลาย) (2) มลพิษทางอากาศ (3) หมอกควัน และฝนกรด (4) ปรากฏการณ์เรือนกระจก (Green house effect) (5) ปรากฏการณ์เอลนิโญ (El Nino) (6) การละลายของธารน้ำแข็งและภาวะน้ำท่วม

(7) การเพิ่มขึ้นของขยะเทคโนโลยี

การอนุรักษ์ทรัพยากรทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในภูมิภาคต่างๆของโลก


(1) ปลูกต้นไม้เพื่อทดแทนของเดิมที่ถูกทำลายไป

(2) อนุรักษ์ป่าไม้ไว้ไม่ให้บุกรุกไปสร้างบ้านเรือนจนกินเนื้อที่ป่ามาก

(3) ควบคุมดูแลการใช้น้ำ ไฟ อย่างประหยัด

แหล่งอ้างอิง: http://www.ertc.deqp.go.th/ertc/


มันเกิดอะไรขึ้นกับโลกของเราใบนี้กัน
น่ากลัวซ่ะ
ย่อยยับหมดแล้ว
ดูความแตกต่างซิ
ส่งน้ำใจไปช่วยกันเถอะค่ะ



ออย-*- เห็นแล้วหดหู่ สลดใจ TOT!!!!!!

ที่มา: http://www.the-thainews.com